เคสที่ 1
คนไข้เป็นผู้หญิงวัยกลางคน ทำงานโดนแดดอยู่เป็นประจำ เคยรักษาฝ้าโดยการใช้ยาทาและยากิน อาการดีขึ้นฝ้าดูจางลง พอหยุดยากลับมาขึ้นใหม่อีก ไม่พอใจเปลี่ยนหมอ เราจึงได้พบกัน พอเราคุยไปคุยมา คนไข้ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า สาเหตุของฝ้าเกิดจากอะไร แล้วต้องปฏิบัติตัวยังไง ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมฝ้าถึงกลับมาดำเข้มขึ้น การรักษาฝ้า หลักๆ คือเราต้องให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับตัวโรคของฝ้า ว่าจริงๆ แล้วฝ้ามันไม่หายขาด มีโอกาสที่จะกลับมาดำขึ้นได้เสมอหากหยุดใช้ยา ซึ่งนี่คือธรรมชาติของฝ้าทุกชนิด ที่คนไข้จำเป็นต้องได้รับการย้ำเตือนเสมอ ส่วนในรายนี้ สาเหตุหลักๆจริง ก็คือเกิดจากการไปซื้อครีมกันแดดที่คุณภาพไม่ได้มาตรฐาน และใช้ในปริมาณที่ไม่เหมาะสม กันแดดปริมาณที่เหมาะสมคืออะไร ก็คือ ใช้ 2 ข้อนิ้วมือ ทาหน้า 2 ข้อนิ้วทาคอ เติมกันแดดทุก 2-4 ชั่วโมงในกรณีที่เหงื่อออกเยอะ รอให้กันแดดเซ็ตตัวก่อน 30 นาทีก่อนออกแดด 3 อย่างนี้เป็นสิ่งสำคัญมากๆ ที่หลายๆ คนที่แม้แต่รักษาฝ้ากับหมอท่านอื่นๆ แล้วไม่รู้ถึงตัวโรคและการปฏิบัติตัว การโดนปัจจัยกระตุ้นจะทำให้ ฝ้ากลับมาดำคล้ำเหมือนเดิม
เคสที่ 2
เป็นคนไข้ผู้ชาย มีประวัติพันธุกรรมฝ้าในครอบครัว กิจกรรมหลักคือการตีกอล์ฟ เคสแบบนี้เป็นเคสที่ถือว่าค่อนข้างรักษายากพอสมควรเพราะว่า ถึงแม้ว่าเราจะเอายาที่ดีใช้ทาหน้าแล้ว รวมทั้งทากันแดด ป้องกันแดด แต่การที่ต้องออกไปตีกอล์ฟเป็นประจำ ก็ยากมากที่จะเลี่ยงแดด การรักษาฝ้าถึงแม้ว่าจะไม่ได้ช่วยให้หายคล้ำมากหากยังมีปัจจัยกระตุ้น แต่ก็ยังถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่จะพอช่วยให้ฝ้าไม่ได้ดำคล้ำมากขึ้นกว่าเดิม คนไข้รายนี้เขามองว่าการรักษา อย่างน้อยก็อาจจะจางลง เทียบกับการไม่รักษาเลยซึ่งจะทำให้ฝ้าเข้มขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลต่อภาพลักษณ์ หน้าตา และการทำงาน ถึงแม้ว่าฝ้าจะเป็นธรรมชาติ แต่การไม่มีจุดด่างดำบนใบหน้า ก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึง อายุที่ดูอ่อนเยาว์มากกว่า
เคสที่ 3
คนไข้ผู้หญิงวัยทำงาน มีผิวหน้าที่ค่อนข้างแพ้ง่าย มารักษาฝ้า แต่ต้องการให้เห็นผลลัพธ์เร็ว ให้รอยฝ้ากลับมาหายดำ กระจ่างใสอย่างเร็ว ซึ่งก็จะทำให้หมอที่ตรวจค่อนข้างลำบากใจในการรักษา เพราะตัวโรคของฝ้า จริงๆ แล้วมันใช้เวลานานกหลัก 1-2 เดือนกว่าที่มันจะจาง ถึงแม้ว่ายาที่ดีที่สุด รวมทั้งการเลเซอร์ การฉีดฝ้า การดริปวิตามินผิวก็ตาม ก็ต้องใช้ระยะเวลาพอๆกัน ความรีบของการรักษาฝ้า มีผลเสียอย่างมากในการรักษาเพราะจะใช้ยาในขนาดปริมาณที่ค่อนข้างมาก ร่วมกับการที่คนไข้เป็นผิวแพ้ง่าย ทายามีโอกาสเกิดการระคายเคืองสูง ยิ่งจะทำให้ฝ้านั้นดำมากขึ้น
การรักษาฝ้าในเคสนี้จึงต้องกลับมาเริ่มจาก การดูแลผิวพื้นฐานที่สำคัญที่สุด คือการให้ความชุ่มชื่นผิว ให้ผิวกลับมาแข็งแรงก่อน เพราะหากใช้ยารักษาเลยขณะที่ผิวแพ้ง่าย จะทำให้การรักษายิ่งช้าลงเรื่อยๆ ไม่สามารถปรับยาได้ตามความเหมาะสมเพราะจะถูกรบกวนด้วยภาวะการระคายเคือง
เคสที่ 4
คนไข้ผู้หญิงเป็นฝ้า ที่ก่อนหน้าจะมาพบแพทย์ รักษามาด้วยการซื้อยาด้วยตัวเองมาโดยตลอด แต่เกิดผลข้างเคียงคือใช้ยาฝ้าแล้วดำมากขึ้นจึงมาหาหมอ นอกจากการปรับพฤติกรรม การดูแลตัวเอง ลดการโดนแดดแล้ว ยังจำเป็นที่จะต้อง รู้วิธีการใช้ยาฝ้าให้ถูกวิธีด้วย การใช้ยาฝ้าที่ถูกต้องของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง ซึ่งจะใช้ระยะเวลาที่ค่อยข้างนานมาก การมีแพทย์แนะนำ คอยช่วยเหลือทำให้การรักษาฝ้าไปถึงผลลัพธ์ได้ในระยะที่เร็วกว่า การที่ลองลงมือทำด้วยตัวเอง